สินเชื่อรถยนต์ รถแลกเงิน รถผ่อนอยู้ก็กู้ได้ ไม่เช็คแบล็คลิส

สำหรับร้านค้า หรือนักขายมืออาชีพ ขายสินค้าเกิน5ชิ้นต่อเดือน บุคคลผู้มีสินค้าที่ขายในจำนวนมาก หรือมีการขายแบบต่อเนื่องของสินค้า

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » จันทร์ ส.ค. 21, 2017 7:55 pm

วิธีเลือกและดูแลใบปัดน้ำฝน
กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.)​ แนะผู้ขับขี่เลือกใช้ที่ปัดน้ำฝนที่ทำจากโลหะ �มีขนาดเหมาะสมกับมาตรฐานที่รถกำหนด การเลือกและดูแลใบปัดน้ำฝน ทำอย่างไรบ้างตามมาดูกันเลย
นายฉัตรชัย พรหมเลิศ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า ใบปัดน้ำฝนเป็นอุปกรณ์ที่มีความจำเป็นต่อการใช้งานในช่วงฤดูฝน ทำให้ผู้ขับขี่มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางอย่างชัดเจน จึงช่วยลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ​ �เพื่อความปลอดภัย กระทรวงมหาดไทย โดยกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ขอแนะ การเลือกใช้และดูแลใบปัดน้ำฝนให้พร้อม�ใช้งานในช่วงฤดูฝน ดังนี้
การเลือกใช้ใบปัดน้ำฝน
ใช้ใบปัดน้ำฝนที่ผลิตจากวัสดุและเนื้อยางที่มีคุณภาพดี เพื่อให้สามารถใช้งานได้อย่างคงทน โครงของใบปัดน้ำฝนทำจากโลหะ เพื่อป้องกันการกระพือจากแรงลมในขณะขับรถด้วยความเร็วสูง และช่วยเพิ่มน้ำหนักในการรีดน้ำจากกระจก มีขนาดเหมาะสมกับมาตรฐานที่รถกำหนด
หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดเล็กเกินไป ทำให้รัศมีในการ�ปัดน้ำฝนน้อยลง ส่งผลต่อทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทาง หากใบปัดน้ำฝนมีขนาดใหญ่มากไป ใบปัดจะเลยขอบกระจก ทำให้มีอายุการใช้งานสั้นลง
ยางใบปัดน้ำฝนแนบสนิทกับกระบังลมหน้า-หลัง เลือกที่มีความยืดหยุ่นและมีขนาดพอดีกับก้านใบปัดน้ำฝน เนื้อยาง�มีคุณสมบัติพิเศษ ไม่เสื่อมสภาพเร็วเกินไป และคงทนต่อสภาพอากาศร้อน
วิธีสังเกตลักษณะของใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ
- เนื้อยางแข็งกรอบและมีรอยฉีกขาด
- กวาดน้ำบนกระจกไม่สะอาด รีดน้ำจากกระจกไม่หมด
- กวาดแล้วมีรอยขุ่นมัวหรือละอองน้ำเป็นม่านบนกระจก
- ยางปัดน้ำฝนมีอายุใช้งานมานานมากกว่า 1 ปี
- มีเสียงดังและมีอาการกระตุกขณะใช้งาน ซึ่งเกิดจากการเสียดสีกันระหว่างใบปัดน้ำฝนกับกระจก
การดูแลใบปัดน้ำฝน
- จอดรถในที่ร่ม เพื่อป้องกันแสงแดด ทำให้ยางใบปัดน้ำฝนแข็งกรอบและขาดความยืดหยุ่น เพราะยางต้องแนบกับกระจกที่รับความร้อน
- หมั่นตรวจสอบสภาพและทำความสะอาดยางใบปัดน้ำฝน โดยยกก้านใบปัดน้ำฝนขึ้นและ�ใช้ผ้าชุบน้ำสะอาดเช็ดตามแนวยาวของใบปัดน้ำฝน
- ไม่ใช้ผงซักฟอกทำความสะอาดใบปัดน้ำฝน เพราะทำให้ยางเสื่อมสภาพเร็วและสีรถได้รับความเสียหาย
- ใช้น้ำยาเช็ดกระจกและเคลือบกระจกอยู่เสมอ จะทำให้กระจกสะอาดและใบปัดน้ำฝนทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
กรณีใบปัดน้ำฝนชำรุด
หากยางปัดน้ำฝน ฉีกขาด แข็งกรอบ ปัดน้ำไม่สะอาด มีเสียงดังหรือสะดุดขณะใช้งาน มีรอยขีดข่วนบนกระจก ให้เปลี่ยนชุดใบปัดน้ำฝนใหม่ เติมน้ำผสมน้ำยาเช็ดกระจกหรือแชมพูในกระปุกฉีดน้ำ จะช่วยขจัดคราบสกปรกบนกระจกได้สะอาดขึ้น
กรณีหัวฉีดน้ำอุดตัน
ใช้เข็มหมุดเจาะบริเวณรู พร้อมปรับทิศทางของช่องฉีดน้ำให้อยู่แนวกึ่งกลางของกระจกรถ
ทั้งนี้ การใช้ใบปัดน้ำฝนที่เสื่อมสภาพ นอกจากจะไม่สามารถกวาดน้ำบนกระจกได้สะอาดแล้ว ยังส่งผลให้กระจกหน้ารถเป็นรอย โดยเฉพาะการขับรถในช่วงที่ฝนตกหนัก ทำให้มีทัศนวิสัยในการมองเห็นเส้นทางไม่ชัดเจน จึงเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » ศุกร์ ก.ย. 01, 2017 1:51 pm

นอกจากจะต้องคอยนำรถยนต์เข้าเช็กระยะและคอยสังเกตอาการผิดปกติต่างๆ แล้ว การดูแล รถที่จอดตากแดดบ่อยๆ ระหว่างทำธุระ หรือจอดไว้ที่ทำงาน ฯลฯ ก็ถือเป็นเรื่องใกล้ตัวที่ไม่ควรมองข้าม
เพราะใช่ว่าทุกที่จะมีที่จอดรถในร่มเสมอ หรือต่อให้มี บางทีก็อาจจะเต็ม จนคุณต้องวนรถออกไปจอดตากแดดข้างนอก ทำให้รถของเราต้องเผชิญกับสิ่งต่างๆ โดยไม่มีอะไรปกปิด หรือป้องกัน ซึ่งปัญหาส่วนใหญ่ที่จะเกิดขึ้นก็คือ สีรถซีดจางลงเร็วกว่าปก หรือรถที่จอดในร่ม เพราะรังสีความร้อนของพระอาทิตย์ และยังมีปัญหาของฝุ่นผง สิ่งสกปรกต่างๆ เช่น ขี้นก ที่นอกจากจะทำให้รถเปรอะเปื้อนแล้ว มันยังทำให้รถเป็นรอยด่างๆ ดวงๆ รวมไปถึงความเสียหายภายในรถยนต์ ที่เกิดจากความร้อนที่สะสม และอบอยู่ภายในรถเป็นเวลานาน ฯลฯ
สำหรับวิธีดูแลรถที่ต้องจอดกลางแจ้ง หรือจอดตากแดดเป็นประจำ มีอยู่ 3 ข้อ ง่ายๆ ดังนี้
1. ใช้ผ้าคลุมรถ ไม่ว่าจะเป็นผ้าคลุมสะท้อนแสงที่แถมจากศูนย์บริการตอนซื้อรถใหม่ หรือจะไปหาซื้อทีหลังก็ได้ เพราะมันสามารถช่วยปกป้อง และครอบคลุมรถได้ทั้งหมด แต่ตอนใช้ก็ต้องระวังให้ดี เพราะอาจจะมีเศษฝุ่นเศษทราย หรือสิ่งสกปรกอื่นๆ ที่ติดรถ ขูดขีดกับผ้าในระหว่างใช้งานตอนคลุม และตอนเก็บ ยังไงก็ดูให้ดี และก็ทำแบบเบามือหน่อย
2. เต็นท์คลุมรถแบบพับเก็บได้ บางคนอาจยังไม่รู้จัก แต่จริงๆ แล้วมันมีขายในบ้านเรามาพักใหญ่ๆ แล้ว แถมยังกันแดดได้ดีเกือบเท่ากับการนำรถไปจอดในที่ร่ม ซึ่งมันมีขนาดให้เลือกใช้มากมาย เวลาจะซื้อมาใช้ก็ควรดูให้ดี ว่ามันพอดีกับรถคุณหรือไม่ นอกจากนี้ยังต้องดูพื้นที่ในการจอดด้วยว่า มีความกว้างขวางพอให้กางเจ้าเต็นท์นี้รึเปล่า เพราะมันออกจะดูเกะกะไปสักหน่อย และก็ต้องระวังให้ดีในวันที่มีลมพัดแรง เนื่องจากมันอาจปลิวไปตามแรงลมจนไปทำความเสียหายให้กับรถคันอื่นได้ ดังนั้นคุณจึงควรติดตั้งให้แน่น และตรวจเช็กดูความเรียบร้อยให้ดีในทุกๆ ครั้งที่ใช้งาน
3. เคลือบสีรถ หากไม่อยากเสี่ยงกับผ้าคลุมรถ (กลัวรถเป็นรอย) หรือเต็นท์คลุมรถแบบพับเก็บได้ (กลัวจะหลุดไปโดนรถคันอื่น) วิธีนี้ถือว่าง่ายที่สุดแล้ว เพียงแค่นำรถเข้าร้านคาร์แคร์ หรือจะทำเองเดือนละครั้งก็ได้ เพราะการเคลือบสีรถสามารถช่วยปกป้องรังสีจากดวงอาทิตย์ แถมยังช่วยถนอมสีรถไม่ให้จืดจางซีดเร็ว แต่ถ้าอยากปกป้องแบบขั้นสุด เคลือบแก้วไปเลย เพราะการเคลือบแก้ว จะเพิ่มชั้นฟิล์มขึ้นมาปกป้องอีกชั้นหนึ่ง เพื่อป้องกันชั้นสีแท้ที่อยู่ด้านล่างเอาไว้ และยังช่วยลดความรุนแรงในการทำลายของแสงแดดได้อีกด้วย
หากเป็นไปได้ คงไม่มีใครอยากจอดรถไว้กลางแดดกันหรอก เพราะเชื่อว่าแต่ละคนก็คงรับรู้ถึงความรุนแรงของแสงแดดในบ้านเรา ว่ามันร้อนแรง และรุนแรงขนาดไหน แต่ถ้าหลีกหนีการจอดรถตากแดดไม่ได้จริงๆ ลองนำวิธีเหล่านี้ไปใช้ดู แม้บางข้ออาจจะดูยุ่งยาก วุ่นวาย และเสียเวลา แต่ถ้าคุณรักรถของคุณ เรื่องพวกนี้มันอาจจะดูเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไปเลยก็ได้
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » อังคาร ก.ย. 05, 2017 7:45 pm

กรมการขนส่งทางบก ระบุ!!! มาตรการเข้มงวดการใช้รถป้ายแดงป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย กำหนดดำเนินการแบบเป็นขั้นตอน เบื้องต้นระหว่าง วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2560 จับ-ปรับในอัตราเบื้องต้นกับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียน นานเกิน 60 วันนับจากรับรถ และตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2561 เป็นต้นไป เข้มงวดจับ-ปรับตามกฎหมายกับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนเกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ จนกว่ากฎหมายยกเลิกป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้
นายสนิท พรหมวงษ์ อธิบดีกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ร่วมกำหนดมาตรการเข้มงวดการใช้รถป้ายแดง เพื่อป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย และอาจเป็นช่องทางการก่อปัญหาอาชญากรรมของกลุ่มมิจฉาชีพที่ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยและยากต่อการควบคุมกำกับดูแลการใช้รถใช้ถนน ดังนั้น เพื่อให้ประชาชนและผู้จำหน่ายรถมีการปรับตัว จึงกำหนดแนวทางดำเนินการบังคับมาตรการทางกฎหมายแบบเป็นขั้นตอน ร่วมกับการสร้างความเข้าใจ การรับรู้ โดยจะเริ่มบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายตรวจสอบรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนนานเกิน 60 วัน นับแต่วันรับรถ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม – 31 ธันวาคม 2560 เป็นต้นไป หากพบการฝ่าฝืนจะพิจารณาอัตราเปรียบเทียบปรับในอัตราเบื้องต้น ควบคู่กับการแนะนำและตักเตือน พร้อมชี้แจงมาตรการการบังคับใช้กฎหมายซึ่งจะมีความเข้มข้นขึ้น ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 เป็นต้นไป กรมการขนส่งทางบกและสำนักงานตำรวจแห่งชาติดำเนินการเข้มงวดตรวจจับรถป้ายแดงที่ยังไม่จดทะเบียนเกิน 30 วัน นับจากวันรับรถ หากพบการใช้งานป้ายแดงเกินกำหนดระยะเวลา เปรียบเทียบปรับในฐานความผิดตามพระราชบัญญัติรถยนต์ พ.ศ.2522 มาตรา 6 ฐานใช้รถที่ยังไม่จดทะเบียน ปรับไม่เกิน 10,000 บาท โดยจะดำเนินการตรวจจับอย่างต่อเนื่องเข้มข้นไปจนกว่ากฎหมายยกเลิกการใช้ป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้ ดังนั้น ผู้จำหน่ายรถต้องระบุวันที่รับรถในสมุดคู่มือการใช้ป้ายแดง เพื่อให้เจ้าของรถแสดงต่อเจ้าพนักงานได้ทันทีเมื่อถูกเรียกตรวจสอบ พร้อมทั้งผู้จำหน่ายรถ ต้องจัดทำรายงานข้อมูลการรับรถส่งกรมการขนส่งทางบกเป็นประจำทุกเดือน
อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวเพิ่มเติมว่า ทั้งนี้ มาตรการเข้มงวดดังกล่าวเพื่อป้องกันปัญหาการใช้รถผิดกฎหมาย เนื่องจากป้ายแดงตามกฎหมายแล้วถือเป็นรถที่ยังไม่ได้จดทะเบียน เป็นเพียงเครื่องหมายพิเศษที่กรมการขนส่งทางบกออกให้แก่บริษัทจำหน่ายรถอนุญาตให้ใช้เฉพาะกรณีเพื่อขายหรือเพื่อซ่อมเท่านั้น เช่น การขับจากโรงงานผู้ผลิตไปส่งยังผู้แทนจำหน่าย หรือขับจากผู้แทนจำหน่ายส่งไปยังผู้ซื้อ โดยในการเคลื่อนย้ายแต่ละครั้งต้องใช้คู่กับสมุดคู่มือประจำรถและใบอนุญาตให้ใช้รถ หรือได้รับอนุญาตเป็นครั้งคราว โดยจะเข้มงวดกวดขันตามมาตรการดังกล่าว จนกว่ากฎหมายการยกเลิกป้ายแดงจะมีผลบังคับใช้ ซึ่งจะกำหนดให้รถยนต์ใหม่ทุกคันต้องจดทะเบียนก่อนใช้งานบนท้องถนน ซึ่งในปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกใช้ระยะเวลาในการจดทะเบียนรถใหม่เพียงวันเดียว จึงขอให้ประชาชนจดทะเบียนรถให้ถูกต้องตามกฎหมายเพื่อการใช้รถที่ถูกต้องและปลอดภัย อธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
ไฟล์แนป
21032444_1722696397771121_1283522332746820346_n.jpg
21032444_1722696397771121_1283522332746820346_n.jpg (97.81 KiB) เปิดดู 12451 ครั้ง
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » พฤหัสฯ. ก.ย. 07, 2017 10:33 am

สาเหตุที่ทำให้รถกินน้ำมันมากกว่าปกติ มีอะไรบ้าง?
เชื่อว่าทุกคนรู้ดีอยู่แล้วว่า พลังงานในการขับเคลื่อนรถทุกชนิดส่วนใหญ่มาจากน้ำมัน ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็มีการคิดค้น และพัฒนา เพื่อหาพลังงานอื่นๆ มาทดแทน เนื่องจากน้ำมันเป็นพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป หากถึงเวลาเมื่อไหร่ น้ำมันอาจหมดโลก ไม่มีให้เราใช้แล้วก็ได้
แต่กว่าที่เราจะพัฒนาไปถึงขั้นที่ไม่จำเป็นต้องใช้น้ำมัน คาดว่าคงอีกหลายสิบ หลายร้อยปี กว่าจะทำสำเร็จ ตอนนี้เราทุกคนจึงจำเป็นที่จะต้องช่วยกันประหยัดน้ำมันให้มากที่สุดเท่าที่ จะทำได้ แต่บางครั้งคุณอาจรู้สึกว่า รถที่เราใช้งานอยู่ ทำไมถึงเริ่มกินน้ำมันมากกว่าปกติ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนไม่ได้กินขนาดนี้
ซึ่งจริงๆ แล้วมันมีสาเหตุอยู่หลายปัจจัยที่ทำให้เครื่องยนต์ของคุณ กินน้ำมันมากกว่าปกติ แต่หลักๆ แล้วมีดังนี้
1. กรองอากาศสกปรก อุดตัน ทำให้อากาศไหลผ่านเข้าห้องเผาไหม้ได้น้อย เครื่องยนต์ทำงานได้ไม่เต็มที่
2. ระบบจุดระเบิดมีปัญหา เช่น สายหัวเทียนชำรุด หัวเทียนบอด ตั้งจังหวะจุดระเบิดไม่ถูกต้อง หรือสายคอยล์ขาด ฯลฯ
3. ส่วนผสมระหว่างน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศไม่ถูกต้อง อาจเป็นไปได้ที่ช่างจะปรับให้ส่วนผสม หรือก็คือน้ำมันเชื้อเพลิงหนามากเกินไป
Advertisement
4. เครื่องยนต์หลวม อาจเป็นเพราะอายุ ความเก่า หรือการใช้งานหนักแบบตะบี้ตะบัน จึงทำให้กำลังอัดของเครื่องยนต์ลดน้อยลงไป
หากพบอาการผิดปกติเหล่านี้ ให้รีบแก้ไข หรือนำรถไปตรวจเช็กที่ศูนย์บริการ หรืออู่ซ่อมทันที เพราะหากปล่อยทิ้งไว้นาน นอกจากจะสิ้นเปลืองน้ำมันแล้ว มันอาจส่งผลเสียไปยังส่วนอื่นๆ ของเครื่องยนต์ได้อีกด้วย
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » อังคาร ก.ย. 12, 2017 8:13 pm

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า 'เบรกแตก-คันเร่งค้าง' รับรองรอดชัวร์...!
ปัจจุบันปัญหา 'เบรกแตก' หรือ 'คันเร่งค้าง' พบได้น้อยลงกว่าสมัยก่อนเยอะ เพราะเทคโนโลยีการผลิตรถยนต์ที่ก้าวหน้าไปมาก ทำให้วิศวกรสามารถออกแบบระบบต่างๆ ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี หากเราใช้รถเกินลิมิตของมัน เช่น เหยียบเบรกตลอดเวลาขณะลงเขาจนเบรกร้อนจัด หรือมีพรมปูพื้นเข้าไปขัดกับแป้นคันเร่ง จนทำให้เกิดเหตุการณ์คันเร่งค้าง เหล่านี้ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน Sanook! Auto จึงขอแนะนำวิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้าหากเกิดเหตุการณ์ 'เบรกแตก' หรือ 'คันเร่งค้าง' หากมีสติพอที่จะปฎิบัติตามนี้แล้วล่ะก็ รับรองว่าจะสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยแน่นอน
#เบรกแตก
ปัญหารถเบรกแตกในปัุจจุบันมักพบได้บ่อยในรถที่ขับลงเขาด้วยความเร็วสูง โดยใช้วิธีเหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วตลอดเวลา จนทำให้ผ้าเบรกและจานเบรกร้อนจัด จนเสียประสิทธิภาพในการชะลอความเร็วไป เมื่อถึงจุดนั้นต่อให้เหยียบเบรกแรงแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์ แถมรถยังเพิ่มความเร็วตามความชันของเส้นทางจนไม่อาจควบคุมทิศทางได้
ดังนั้น การแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในกรณีรถเบรกแตก ไม่สามารถชะลอหรือหยุดรถด้วยการเบรกได้นั้น ก่อนอื่น "ห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาด" เพราะจะทำให้พวงมาลัยเพาเวอร์หนักขึ้นและไม่สามารถเหยียบเบรกได้ สิ่งแรกที่ต้องทำคือการลดตำแหน่งเกียร์เป็น "L" ทันที เพื่อให้รถใช้เกียร์ต่ำสุด จะทำให้เกิดเอนจิ้นเบรก (Engine Brake) ช่วยชะลอความเร็วลงได้ ซึ่งตำแหน่งเกียร์ต่ำสุดในรถแต่ละคันอาจแตกต่างกันออกไป เช่น L, 2 หรือ 1 ซึ่งกรณีที่เป็นเกียร์แบบมีแป้น +, - ให้ผลักมาที่โหมด M พร้อมกับลดตำแหน่งเกียร์ลงมาทันที
เมื่อความเร็วลดลงจนปลอดภัยแล้ว ให้ลองพยายามเหยียบเบรกอีกครั้ง แต่หากความเร็วไม่ลดลง ให้ดึงเบรกมือขึ้นอย่างนุ่มนวลเพื่อป้องกันล้อล็อคตาย โดยประคองพวงมาลัยไว้ให้มั่นคงควบคู่กันไป
#คันเร่งค้าง
รถยนต์รุ่นใหม่ในปัจจุบันจะถูกติดตั้งระบบ Brake Override มาให้ ซึ่งจะช่วยตัดการทำงานของคันเร่งเมื่อเหยียบเบรก ทำให้รถไม่พุ่งไปข้างหน้าและสามารถชะลอความเร็วได้อย่างปลอดภัย
แต่สำหรับรถที่ไม่มีระบบดังกล่าวมาให้ หากเกิดเหตุการณ์คันเร่งค้างจากสาเหตุใดก็ตาม ห้ามดับเครื่องยนต์เด็ดขาด ให้ปลดเกียร์เป็นเกียร์ว่าง (N) รอบเครื่องยนต์จะพุ่งขึ้นสูงทันที แต่ตัวรถจะไม่เพิ่มความเร็ว จากนั้นให้เหยียบเบรกเพื่อชะลอความเร็วอย่างปลอดภัย ในกรณีที่เป็นรถไฮบริดที่ใช้คันเกียร์แบบไฟฟ้า ให้ผลักคันเกียร์ไปที่ตัว N ค้างไว้ ก็จะสามารถเข้าเกียร์ว่างขณะรถเคลื่อนที่ได้เช่นกัน
สิ่งสำคัญในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าก็คือ 'สติ' หากสามารถปฎิบัติตามคำแนะนำข้างต้นได้ทันท่วงที ก็จะช่วยให้รอดพ้นเหตุการณ์อันตรายได้อย่างปลอดภัยครับ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » อังคาร ก.ย. 19, 2017 12:11 pm

กรมการขนส่งทางบก เปิดตัวหน้าเว็บไซต์โฉมใหม่ ให้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านอินเทอร์เน็ต เน้นสะดวก ใช้งานง่าย สามารถชำระภาษีได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมจัดส่งเอกสารถึงบ้าน ผู้สนใจสามารถลงทะเบียนใช้งานได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ที่ https://eservice.dlt.go.th
.
นายณันทพงศ์ เชิดชู รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก และโฆษกกรมการขนส่งทางบก เปิดเผยว่า กรมการขนส่งทางบกพัฒนาการให้บริการประชาชนในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างมาตรฐานคุณภาพการบริการภาครัฐที่สามารถเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม โดยนำเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามามีส่วนสำคัญในการลดขั้นตอน ลดระยะเวลาด้วยมาตรฐานความถูกต้องแม่นยำสูงสุด ซึ่งปัจจุบันกรมการขนส่งทางบกได้ขยายการให้บริการรับชำระภาษีรถประจำปีทั้งภายในสำนักงาน ภายนอกสำนักงาน บริการเลื่อนล้อต่อภาษี Drive Thru For Tax ชำระภาษีโดยไม่ต้องลงจากรถ ชำระที่ห้างสรรพสินค้า Shop Thru For Tax ในวันเสาร์-อาทิตย์ รวมถึงการให้บริการผ่านระบบอินเทอร์เน็ตที่ได้รับความนิยมจากประชาชนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจากสถิติในปีงบประมาณ 2559 (ต.ค. 58 - ก.ย. 60) จัดเก็บภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตได้ทั้งสิ้น 133,627,650.66 บาท เพิ่มขึ้นจากปีงบประมาณ 2559 ที่จัดเก็บได้ทั้งสิ้น 101,533,758.11 บาท แสดงถึงการขยายตัวของความนิยมในการเลือกใช้บริการผ่านช่องทางดังกล่าว ดังนั้น เพื่อยกระดับการให้บริการให้ตอบโจทย์ประชาชนมากยิ่งขึ้น กรมการขนส่งทางบกได้พัฒนาเว็บไซต์รับชำระภาษีรถประจำปีผ่านระบบอินเทอร์เน็ตให้มีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยเน้นความสะดวก ใช้งานง่าย และสามารถเข้าถึงเมนูการใช้งานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว เปิดให้ลงทะเบียนเพื่อเข้าใช้งานได้แล้วที่ https://eservice.dlt.go.th ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป สำหรับสมาชิกที่เคยลงทะเบียนใช้งานไว้ก่อนวันที่ 31 สิงหาคม 2560 สามารถขอรับรหัสผ่านใหม่ได้ที่เมนู “ลืมรหัสผ่าน” เพื่อเข้าใช้งานเว็บไซต์ได้ตามปกติ
.
นายณันทพงศ์ฯ กล่าวเพิ่มเติมว่า การให้บริการชำระภาษีรถประจำปีผ่านอินเทอร์เน็ตมีเงื่อนไขต้องเป็นรถเก๋ง รถกระบะ หรือรถตู้ ที่มีอายุการใช้งานไม่เกิน 7 ปี และรถจักรยานยนต์มีอายุการใช้งานไม่เกิน 5 ปี มีขั้นตอนการใช้งานที่ไม่ซับซ้อน โดยหลังจากลงทะเบียนสมัครใช้บริการ กรอกรายละเอียดเกี่ยวกับรถให้ครบถ้วน ระบบอำนวยความสะดวกให้เลือกชำระเงินได้ 3 รูปแบบ คือ การหักจากบัญชีเงินฝากกับธนาคารที่เข้าร่วมโครงการ การชำระด้วยบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต และชำระผ่านเคาน์เตอร์ธนาคารหรือสถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการ และเมื่อดำเนินการชำระภาษีรถประจำปีเรียบร้อยแล้ว กรมการขนส่งทางบกจะจัดส่งใบเสร็จรับเงิน และเครื่องหมายแสดงการเสียภาษี ให้ผู้ชำระเงินทางไปรษณีย์ภายใน 10 วันนับจากวันชำระเงิน โดยมีค่าจัดส่งเอกสาร 40 บาททั่วไทย หลังจากนั้นเจ้าของรถสามารถนำใบคู่มือจดทะเบียนรถไปปรับรายการได้ที่สำนักงานขนส่งทั่วประเทศ นอกจากนี้ ยังมีบริการให้เลือกซื้อกรมธรรม์ประกันภัยผ่านเว็บไซต์ได้ทันที สำหรับผู้ที่กรมธรรม์สิ้นอายุหรือระยะเวลาคุ้มครองเหลือน้อยกว่า 3 เดือน ศึกษารายละเอียดการใช้บริการได้ที่เว็บไซต์ https://eservice.dlt.go.th หรือ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมที่หมายเลขโทรศัพท์ 0-2271-8888 ต่อ 9313 ในวันและเวลาราชการ รองอธิบดีกรมการขนส่งทางบก กล่าวในที่สุด
----------------------------------
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » ศุกร์ ต.ค. 06, 2017 5:16 pm

ทำอย่างไรดี? หากเกิดสนิมขึ้นที่หม้อน้ำ!!!

หม้อน้ำรถยนต์ ถือเป็นตัวหลักในเรื่องของการช่วยระบายความร้อนสำหรับเครื่องยนต์ หากหม้อน้ำเกิดมีปัญหาขึ้นมา มันอาจส่งผลเสียมากกว่าที่คิด

สำหรับสาเหตุที่ทำให้หม้อน้ำมีปัญหาก็มีอยู่หลายปัจจัย และหนึ่งในนั้นก็คือ สนิมในหม้อน้ำ ซึ่งหากเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆ มันจะส่งผลทำให้น้ำไม่หมุนเวียน เกิดการอุดตันภายในรังผึ้ง ระบายความร้อนไม่ได้ จนทำให้เครื่องโอเวอร์ฮีทในที่สุด

แต่ถ้าตรวจสอบดูแล้ว พบว่ามีสนิมอยู่ในหม้อน้ำ ให้จัดการแก้ไขด้วยการล้างหม้อน้ำใหม่ทั้งระบบ ดังนี้

1. หลังจากเครื่องยนต์เย็นสนิท ให้จัดการปล่อยน้ำเก่าออกให้หมด ซึ่งจุดปล่อยน้ำจะอยู่ใต้หม้อน้ำใต้ท้องรถ และหลังจากปล่อยน้ำหมดแล้ว ให้ปิดกลับเข้าที่เดิม

2. เปิดฝาหม้อน้ำแล้วใส่น้ำยาล้างหม้อน้ำที่ผสมน้ำสะอาดลงไป จนถึงระดับปกติ จากนั้นจึงปิดฝาหม้อน้ำ และสตาร์ทเครื่องยนต์ทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที แล้วจึงดับเครื่องยนต์

3. รอจนเครื่องยนต์เย็นตัวลง จึงไปปล่อยน้ำออกอีกครั้ง เสร็จแล้วหมุนปิดเข้าที่เดิม แล้วเติมน้ำสะอาดเข้าไป และสตาร์ทเครื่องยนต์อีกที ซึ่งขั้นตอนนี้ให้ทำการถ่ายน้ำไปซัก 2-3 รอบ หรือจะมากกว่านี้ก็ได้ ถ่ายน้ำออกจนกว่าน้ำจะใส และไม่มีสนิมปนออกมากับน้ำ

4. เติมน้ำยาหม้อน้ำ หรือ Coolant ที่ผสมกับน้ำเปล่า หรือน้ำกลั่น(ทำให้เกิดตะกรันได้ยาก) ลงไปในหม้อพัก และหม้อน้ำให้เต็ม



5. สตาร์ทเครื่องยนต์อีกครั้ง จัดการเปิดแอร์เบอร์แรงสุด และเหยียบคันเร่งเบาๆ เพื่อเร่งเครื่อง โดยให้รอบอยู่ที่ประมาณ 2,000 รอบต่อนาที รอสักครู่เพื่อให้เกจ์ความร้อนขึ้นมาอยู่ในระดับปกติ แล้วจึงปล่อยให้เครื่องยนต์เดินเบาไปเอง

6. กลับไปดูที่หม้อน้ำ หากน้ำลดลงให้จัดการเติมน้ำเพิ่มเข้าไป โดยให้เติมเข้าไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเต็ม และคอยสังเกตดูด้วยว่า ปากหม้อน้ำมีฟองอากาศออกมาหรือไม่ ถ้าไม่มีฟองอากาศออกมาแล้ว ก็ถือว่าเป็นอันเสร็จสิ้น

สุดท้ายนี้ หากคุณทำเองไม่เป็นหรือไม่กล้าทำ ให้นำรถไปเข้าอู่ หรือศูนย์บริการ เพื่อให้ช่างผู้ชำนาญการทำให้ก็ได้ ซึ่งมันอาจจะเสียค่าใช้จ่ายมากขึ้นกว่าเดิม แต่ก็ช่วยประหยัดเวลา ประหยัดแรงไปได้พอสมควรเลยทีเดียว และที่สำคัญ อย่าลืมตรวจเช็กหม้อน้ำเด็ดขาด อย่าปล่อยให้น้ำแห้ง อย่างน้อยตรวจดูอาทิตย์ละครั้งก็ยังดี เพื่อรถสุดรักจะได้อยู่คู่กับคุณไปนานๆ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » อาทิตย์ ต.ค. 15, 2017 8:00 pm

4 สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม

ช่วงนี้หลายคนทั้งในกรุงเทพมหานครและต่างจังหวัด คงต้องเผชิญสภาวะปัญหาน้ำท่วมขังบนท้องถนน ทำให้ขับรถสัญจรไปมาได้อย่างลำบาก แถมยังเสี่ยงทำให้เกิดความเสียหายต่อรถยนต์ที่เรารักได้ด้วย

การขับรถลุยน้ำท่วมนั้น ใช่ว่าจะขับเหมือนกับช่วงที่น้ำแห้งปกติได้ เพราะการขับผ่านน้ำท่วมขัง อาจส่งผลเริ่มตั้งแต่ป้ายทะเบียนหลุดหาย ไปจนถึงเกิดความเสียหายกับชิ้นส่วนภายนอกตัวรถและห้องเครื่อง และรุนแรงที่สุดอาจทำให้เครื่องยนต์พังได้ในพริบตาเดียว

ดังนั้น จึงขอแนะนำ 4 สิ่งที่ต้องจำให้ขึ้นใจเมื่อขับรถผ่านน้ำท่วม มีอะไรบ้าง?

1.เลือกช่องทางเดินรถที่มีน้ำท่วมขังต่ำที่สุด

หากสามารถหลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังได้ ก็แนะนำให้เลี่ยงไปเส้นทางอื่นจะดีกว่า แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้จริงๆ ให้เลือกช่องจราจรที่มีน้ำท่วมขังในระดับต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพื่อเป็นการลดโอกาสที่จะทำให้เกิดความเสียหายกับตัวรถและเครื่องยนต์ หากรถหยุดนิ่งเนื่องจากสภาพจราจรติดขัด ให้ทำใจเย็นๆเข้าไว้ ไม่ต้องเปลี่ยนไปยังเลนที่มีน้ำท่วมขังสูงกว่า ตราบใดที่เครื่องยนต์ยังคงทำงานอยู่ น้ำจะไม่มีโอกาสเข้าทางท่อไอเสียเครื่องยนต์อย่างแน่นอน

2.ใช้ความเร็วต่ำที่สุดขณะลุยน้ำ

การขับรถลุยน้ำให้ใช้ความเร็วต่ำที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะการใช้ความเร็วสูงเกินไป จะทำให้ปริมาณน้ำจำนวนมากไหลหลั่งเข้ามาในห้องเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว จนเป็นเหตุให้ท่วมถึงระดับหม้อกรองอากาศ และถูกดูดเข้าไปยังห้องเผาไหม้ จนเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์น็อคเนื่องจากก้านสูบคดหรือหักได้

3.ห้ามเร่งเครื่องยนต์

หลายคนเข้าใจผิดว่าการขับรถลุยน้ำท่วมต้องเร่งเครื่องยนต์ให้รอบขึ้นสูงเพื่อป้องกันรถดับ แต่ความคิดนี้ผิดมหันต์! เพราะการเร่งเครื่องยนต์ขึ้นสูงนอกจากจะไม่มีประโยชน์ใดๆแล้ว ยังทำให้เครื่องยนต์มีแรงดูดอากาศเข้าไปยังห้องเผาไหม้มากขึ้น เพิ่มความเสี่ยงที่น้ำจะถูกดูดเข้าไปในเครื่องยนต์มากขึ้นด้วย

4.ปิดแอร์ทันทีเมื่อระดับน้ำขึ้นสูง

ขณะขับรถลุยน้ำ หากพบว่าระดับน้ำเริ่มขึ้นสูง ให้รีบปิดแอร์ในทันทีเพื่อตัดการทำงานของพัดลมแอร์ เนื่องจากใบพัดอาจหมุนกระแทกเข้ากับน้ำด้วยความรุนแรงจนเป็นสาเหตุให้แตกหรือหักได้ ให้สังเกตว่าหากระดับน้ำเริ่มแตะใต้ท้องรถเมื่อไหร่ ให้รีบปิดแอร์ในทันที แต่หากเริ่มปิดตั้งแต่เริ่มลุยน้ำได้ก็จะดีมาก

เหล่านี้เป็นเทคนิคง่ายๆ ในการลดความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดความเสียหายต่อตัวรถและเครื่องยนต์ หากคราวหน้าคุณจำเป็นต้องขับรถลุยน้ำ ก็อย่าลืมนำสิ่งเหล่านี้ไปใช้ด้วยนะครับ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » เสาร์ พ.ย. 04, 2017 11:10 am

วิธีแก้ไขเบื้องต้นสำหรับ รถจมน้ำ!

ช่วงหน้าฝนนี้ นอกจากจะต้องคอยดูแลรถยนต์ให้ดี ต้องล้างรถบ่อยๆ แล้ว บางครั้งหากน้ำมาเยอะ ก็อาจเจอน้ำท่วมขังในบางจุด แต่ถ้าซวยสุดๆ น้ำทะลักเข้าพื้นที่ที่คุณอยู่จนมันท่วมหนัก รถของคุณไม่สามารถขยับหนีได้ ก็ต้องทำใจปล่อยให้ รถจมน้ำไปตามยถากรรม

ซึ่งทุกๆ จังหวัดไม่เว้นแม้แต่กรุงเทพฯ ต่างมีโอกาสเสี่ยงสูงที่จะถูกน้ำท่วมรถ แต่ก็อย่าได้กังวลไป เพราะเรามีวิธีแก้ไขเบื้องต้น ที่จะช่วยผ่อนหนักให้เป็นเบาได้ ดังนี้

1. ล้างอัดฉีดรถให้สะอาด เพื่อไล่เศษสิ่งสกปรก เศษหินดินทราย ให้หลุดออกไปให้หมด ไม่เว้นแม้แต่ซอกเล็กซอกน้อยตามจุดต่างๆ ทั้งใต้ซุ้มล้อ ใต้ท้องรถ ฯลฯ

2. หากน้ำท่วมสูงจนถึงกระจกหน้าต่าง หรือฝากระโปรงรถ อย่าบิดกุญแจให้ระบบไฟทำงานเป็นอันขาด เพื่อป้องกันระบบไฟเสียหาย ทางที่ดีคุณควรถอดอุปกรณ์ไฟฟ้าทั้งหมดออกมา เช่น กล่อง ECU กล่องรีเลย์ หัวเทียน ฯลฯ แล้วนำไปตากแดดให้แห้ง และสำหรับรถเบนซินให้นำลมไปเป่าไล่น้ำที่เบ้าหัวเทียนออกให้หมด (เพื่อความปลอดภัย ควรถอดขั้วแบตเตอรี่ออกก่อนที่น้ำจะท่วมสูง)

3. นำรถไปจอดตากแดด พร้อมกับเปิดประตูทั้งหมดทิ้งไว้ เพื่อไล่กลิ่นเหม็นอับต่างๆ ออกไปให้หมด นอกจากนี้คุณควรถอดโคมไฟหน้า และไฟท้ายออกมาตากแดดด้วย เพื่อไล่ความชื้นที่มีอยู่ออกไปให้หมดเช่นกัน

4. ตรวจเช็กของเหลวในระบบเครื่องยนต์ต่างๆ เช่น น้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำมันเบรก ฯลฯ ว่ามีสีเปลี่ยนไป มีสีผิดปกติไปจากเดิม หรือมีน้ำเข้าไปเจือปนหรือไม่ หากมีเป็นสีคล้ายสีของชาเย็น ให้ทำการเปลี่ยนถ่ายใหม่ทันที

5. เปลี่ยนกรองอากาศใหม่ทันที ไม่ว่าจะเป็นกรองเดิม กรองแต่ง กรองซิ่งต่างๆ เพราะมันอาจเกิดสนิมขึ้นด้านในที่คุณมองไม่เห็น ซึ่งหากฝืนใช้ไป สนิมอาจเล็ดลอดเข้าไปภายในห้องเครื่อง จนทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้

6. ประกอบอุปกรณ์ทุกอย่างที่ถอดออกมาตากแดดจนแห้งแล้วกลับเข้าที่เดิม จากนั้นนำรถเข้าไปตรวจเช็กอย่างละเอียดที่อู่ หรือศูนย์บริการอีกครั้ง เพื่อความชัวร์ และความปลอดภัย

แม้คุณจะไม่สามารถบังคับฟ้า บังคับฝนได้ แต่คุณสามารถเตรียมความพร้อม เตรียมรับมือกับปัญหาเหล่านี้ได้ หรือต่อให้ถึงที่สุดจริงๆ ไม่สามารถนำรถขึ้นที่สูงหนีน้ำได้ คุณก็ยังมีวิธีแก้ไขผ่อนจากหนักให้เป็นเบา แต่ถ้าจะให้ดีสุดๆ เพียงแค่คุณมีประกันที่รับเคลมน้ำท่วมรถ ก็ไม่ต้องกังวลอะไรมากมาย สามารถเรียกประกันมาเคลมได้เลยครับ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » พฤหัสฯ. พ.ย. 16, 2017 1:01 pm

8 สัญลักษณ์บนหน้าปัดรถที่คุณอาจไม่รู้ความหมาย
ผู้ขับขี่ทุกคนควรรู้จักและเข้าใจความหมายของสัญญาณเตือนบนหน้าปัดรถ เพราะเป็นสิ่งบ่งบอกถึงความผิดปกติของตัวรถ เพื่อที่จะรับมือแก้ไขปัญหาก่อนลุกลามบานปลายได้ แต่เชื่อว่ายังมีอีกหลายคนที่ไม่เข้าใจความหมายที่แท้จริงของสัญลักษณ์บนหน้าปัดว่าหมายถึงอะไรกันแน่
จึงขอแนะนำ 8 สัญลักษณ์พื้นฐานบนหน้าปัดรถ จะได้รู้ความหมายที่แท้จริงกัน
1.ไฟเตือนระบบเบรก
หากสัญญาณไฟเตือนระบบเบรกสว่างขึ้น แสดงว่าเบรกมือกำลังทำงานอยู่ แต่หากปลดเบรกมือลงแล้วสัญญาณไม่ดับหรือกระพริบต่อเนื่อง เป็นไปได้ว่าน้ำมันเบรกพร่องเกินระดับปกติ รวมถึงอาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับระบบป้องกันล้อล็อค (ABS - Anti-lock Brake System) ในกรณีที่ใช้สัญญาณเตือนร่วมกัน
2.ไฟเตือนรูปแบตเตอรี่
หลายคนเข้าใจว่าหากสัญญาณเตือนรูปแบตเตอรี่สว่างขึ้น แสดงว่าแบตเตอรี่ใกล้หมด แต่แท้จริงแล้วสัญญาณดังกล่าวบ่งบอกว่าไดชาร์จไม่ทำงาน ซึ่งจะทำให้ระดับไฟในแบตเตอรี่ลดลงอย่างช้าๆ จนเครื่องยนต์ดับลงในที่สุด ทางที่ดีหากสัญญาณเตือนรูปแบตเตอรี่สว่างขึ้น ควรรีบนำรถไปยังศูนย์บริการหรืออู่ซ่อมรถใกล้เคียงโดยเร็วที่สุด เพื่อป้องกันรถตายกลางทาง
3.ไฟหัวเผาเครื่องยนต์ดีเซล
รถเครื่องยนต์ดีเซลจะมีสัญลักษณ์รูปขดลวด ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อบิดกุญแจไปยังตำแหน่ง 'ON' ก่อนที่จะสตาร์ทเครื่องยนต์ หากเป็นเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเก่าที่มีปัญหาสตาร์ทติดยาก สามารถบิดกุญแจไปตำแหน่ง 'ON' เพื่อให้ระบบเผาหัวทำงานประมาณ 1-2 ครั้ง จะช่วยให้เครื่องยนต์สตาร์ทติดได้ง่ายขึ้น
4.ไฟเตือนระบบควบคุมการทรงตัว
รถยนต์ทุกคันที่ติดตั้งระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว จะตั้งค่าเริ่มต้นให้ระบบทำงานทุกครั้งที่สตาร์ทเครื่องยนต์ หากปิดระบบดังกล่าว สัญญาณเตือนรูปรถส่ายไปมาจะสว่างขึ้น เพื่อแจ้งให้ทราบว่าระบบปิดการทำงานอยู่ ซึ่งระหว่างนี้หากรถมีอาการเสียหลัก ระบบจะไม่ช่วยควบคุมการทรงตัวของรถแต่อย่างใด
นอกจากนั้น สัญญาณเตือนดังกล่าวอาจกระพริบในขณะขับรถบนทางเปียก แสดงว่าระบบกำลังช่วยควบคุมเสถียรภาพการขับขี่อยู่ ซึ่งผู้ขับเองอาจไม่รู้สึกว่าระบบกำลังทำงานก็เป็นได้
5.ไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่อง
หากไฟเตือนแรงดันน้ำมันเครื่องสว่างขึ้น แสดงว่าปริมาณน้ำมันเครื่องในห้องเครื่องยนต์อยู่ในระดับต่ำเกินไป ควรจอดรถเช็คระดับน้ำมันเครื่องให้เร็วที่สุด หากน้ำมันเครื่องพร่องจริง ก็ควรเติมทันทีอย่างน้อย 1 ลิตร หรือจนกว่าสัญญาณจะดับลง แต่หากน้ำมันเครื่องยนต์อยู่ในระดับปกติอยู่แล้ว อาจเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับปั๊มน้ำมันเครื่องหรือมีการอุดตันของน้ำมันในระบบได้
6.ไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัย
ปกติไฟเตือนระบบถุงลมนิรภัยจะสว่างขึ้นเมื่อสตาร์ทเครื่องยนต์ และจะดับไปหลังจากเครื่องยนต์ติดไม่นาน แต่หากสัญญาณไฟยังสว่างอยู่ แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับถุงลมนิรภัย หากเกิดอุบัติเหตุจะทำให้ถุงลมไม่พองตัว จึงควรนำรถเข้าเช็คเมื่อมีโอกาส
7.ไฟเตือนระบบพวงมาลัยไฟฟ้า
รถยนต์รุ่นใหม่ๆ ที่ติดตั้งระบบพวงมาลัยไฟฟ้า จะมีสัญญาณเตือนรูปพวงมาลัย หรือ PS หรือ EPS ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อเกิดความผิดปกติของระบบ โดยมากมักจะสว่างขึ้นควบคู่ไปกับอาการพวงมาลัยหนัก แสดงว่ามีความผิดปกติเกี่ยวกับระบบไฟหรือมอเตอร์พวงมาลัย ควรประคองรถเข้าศูนย์หรือใช้บริการรถยกเพื่อแก้ไขปัญหา
8.ไฟเตือนความร้อนสูง
ในรถรุ่นใหม่ที่ไม่มีเข็มวัดอุณหภูมิน้ำหล่อเย็นมาให้นั้น จะมาพร้อมสัญลักษณ์รูปเทอร์โมมิเตอร์สีแดง ซึ่งจะสว่างขึ้นเมื่อเครื่องยนต์เกิดอาการโอเวอร์ฮีท ความร้อนขึ้นสูง หากสัญญาณไฟดังกล่าวสว่างขึ้น ให้รีบจอดรถเข้าข้างทางทันที่ก่อนเครื่องยนต์น็อค ดับเครื่องยนต์ รอจนกว่าเครื่องยนต์จะเย็นลงแล้วจึงเช็คระดับน้ำหม้อน้ำ หากน้ำแห้ง ให้เติมจนถึงระดับแล้วจึงขับขี่ต่อ แต่หากรถยังคงมีอาการโอเวอร์ฮีทอีก แสดงว่าเกิดการรั่วในระบบน้ำหล่อเย็น
นอกจากนั้น ผู้ขับขี่ไม่ควรวางสิ่งของใดๆ บนแผงหน้าปัด เพราะอาจบดบังสัญญาณเตือนเหล่านี้ จนทำให้เกิดความเสียหายตามมาได้
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » เสาร์ ธ.ค. 02, 2017 11:14 am

สาเหตุที่ทำให้รถ เบรกแตก!!!

หากพูดถึงอุบัติเหตุอันตรายจากการขับรถ เชื่อว่าหลายๆ คนคงนึกถึงเรื่อง เบรกแตก เป็นอันดับต้นๆ เพราะหากเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ ความเสี่ยงเกี่ยวกับความปลอดภัยของชีวิต และทรัพย์สิน มีโอกาสสูงมากทีเดียว แม้ว่าอาการนี้จะเกิดขึ้นค่อนข้างยากก็ตาม

สำหรับอาการเบรกแตก จริงๆ แล้วเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย หลายสาเหตุ ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดการดูแลรักษา และตรวจเช็กสภาพการใช้งานนั่นเอง

เอาเป็นว่า มาดูสาเหตุหลักอื่นๆ กันดีกว่า ว่ามีอะไรอีกบ้าง ที่ทำให้รถของคุณเบรกแตก

1. น้ำมันเบรกเสื่อมสภาพ จนทำให้ลูกยางในกระบอกปั๊มล้อที่ทำหน้าที่ป้องกันน้ำมันรั่ว เสื่อมสภาพตามไปด้วย จึงทำให้น้ำมันเบรกรั่วออกมา ซึ่งหากคุณอยากตรวจสอบลูกยางตัวนี้ ก็สามารถทำได้ง่าย แค่เพียงถอดล้อออก จากนั้นถอดจานเบรกแล้วเปิดยางกันฝุ่นที่ครอบตัวกระบอกปั๊มออกมา และสังเกตดู หากมีน้ำมันเบรกรั่วออกมา ก็แปลว่าลูกยางเสื่อมแล้ว จัดการเปลี่ยนได้เลย

2. สายอ่อน หรือท่อทางเดินน้ำมันเบรกรั่ว อาการนี้ดูได้ง่ายๆ หากมีคราบ หรือรอยซึมของน้ำมันเบรกไหลออกมา

3. แรงดันของน้ำมันเบรกมาไม่เต็มระบบ อาการนี้เกิดขึ้นเพราะมีอากาศอยู่ในระบบน้ำมันเบรก ซึ่งอาจเป็นเพราะการไล่อากาศ หรือไล่ลมออกไปไม่หมดจากระบบ เมื่อตอนเปลี่ยนน้ำมันเบรกใหม่ ฯลฯ จึงทำให้ไม่สามารถส่งแรงดันไปได้อย่างเต็มที่

4. น้ำมันเบรกหมด หรือเหลือน้อย มันจะส่งผลทำให้เบรกใช้งานได้ไม่เต็มที่ เบรกไม่ค่อยอยู่ หรือเบรกจมลึกผิดปกติ ฯลฯ ให้ตรวจเช็ก และเติมน้ำมันเบรกให้ถึงระดับที่กำหนด


5. น้ำมันเบรกชื้น ขณะที่กดเบรกลงไป เบรกจะมีความร้อน และการเสียดสีเกิดขึ้น ดังนั้นเมื่อน้ำมันเบรกมีความชื้นผสมอยู่ มันก็จะระเหยกลายเป็นไอ ลูกสูบไม่สามารถทำงานได้ จึงทำให้เบรกไม่อยู่นั่นเอง

6. สายเบรกขาด แม้เปอร์เซ็นต์ในการเกิดขึ้นจะน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่มีเลย ซึ่งวิธีสังเกตให้ตรวจดูใต้ท้องรถว่ามีน้ำมันรั่วหรือไม่ และก่อนออกรถให้ทดสอบเหยียบเบรกดูก่อน ว่าเบรกอยู่รึเปล่า

7. ผ้าเบรก หากผ้าเบรกหมด ผ้าเบรกไหม้ ฯลฯ ก็มีโอกาสเสี่ยงสูงที่รถของคุณจะเบรกแตกได้เช่นกัน

อาการเบรกแตกไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เพราะมันอาจทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิต และทรัพย์สินของคุณได้ ทางที่ดีคุณจึงควรหมั่นตรวจเช็กระบบเบรก และน้ำมันเบรกเป็นประจำ นอกจากนี้ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรกเมื่อถึงระยะที่กำหนดทุกครั้ง รวมไปถึงผ้าเบรกด้วย เพื่อป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นได้
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » พฤหัสฯ. ธ.ค. 07, 2017 11:20 am

หัวเทียน Iridium ดีกว่าของธรรมดายังไง?

หัวเทียนรถยนต์ หากขาดมันไป รถยนต์ของคุณก็จะไม่สามารถทำงาน หรือเคลื่อนที่ไปไหนได้ เพราะมันคือตัวเริ่มต้นในการสร้างประกายไฟสำหรับจุดระเบิดในห้องเผาไหม้ เพื่อให้เครื่องยนต์ทำงานนั่นเอง

จริงๆ แล้วหัวเทียนมีให้เลือกใช้อยู่หลายรุ่น ทั้งหัวเทียนร้อน - หัวเทียนเย็น และยังมีหัวเทียนแบบ หลายเขี้ยว ฯลฯ แต่ในครั้งนี้เราจะขอพูดถึง หัวเทียน Iridium (อิริเดียม) ที่มีความพิเศษมากกว่าแบบธรรมดา ซึ่งหัวเทียน Iridium จะมีคุณสมบัติเด่นกว่าแบบธรรมดายังไง มาดูได้ตามนี้เลย

1. มีกำลังไฟในการจุดระเบิดที่รุนแรงมากยิ่งขึ้น
2. ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจุดระเบิด
3. ประหยัดน้ำมันมากขึ้น เพราะเครื่องยนต์ทำงานได้สมบูรณ์ เผาไหม้หมดจด
4. โอกาสในการเกิดอาการหัวเทียนบอดจะน้อยมากกว่าแบบธรรมดา
5. อัตราเร่งดีขึ้นแบบรู้สึกได้
6. อายุการใช้งานยาวนานกว่าหัวเทียนธรรมดา

ข้อเสียของหัวเทียน Iridium มีอย่างเดียวเลยคือ ราคาที่แพงกว่าหัวเทียนธรรมดา แต่หากเทียบกับประสิทธิภาพที่ได้เพิ่มขึ้นมา นับว่าคุ้มค่ามากทีเดียว แถมมันยังทนทาน มีอายุการใช้งานนานขึ้นอีกด้วย

แต่หากคุณคิดว่าหัวเทียนเดิมๆ โอเคแล้ว ไม่มีความต่าง ก็ไม่มีปัญหา สามารถใช้งานได้เหมือนกัน แต่ถ้าอยากเพิ่มประสิทธิภาพมากขึ้น ก็ลองเลือก หัวเทียน Iridium มาใช้งานได้เช่นกัน และที่สำคัญที่สุด อย่าลืมตรวจเช็กสภาพรถให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอด้วยนะครับ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » เสาร์ ธ.ค. 16, 2017 7:52 pm

"ลมยางอ่อน" เสี่ยงอันตรายกว่าที่คิด

ยางรถยนต์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้รถขับเคลื่อนได้อย่างปลอดภัย ซึ่งการละเลยตรวจสอบลมยางจนเป็นเหตุให้ลมยางอ่อน อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายมากกว่าที่คิด

คนใช้รถจำนวนไม่น้อยมักละเลยการตรวจสอบแรงดันลมยางให้เหมาะสมอยู่เสมอ เนื่องจากคิดไม่ถึงว่าลมยางที่น้อยจนเกินไป อาจสร้างความเสียหายได้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะการขับขี่ด้วยความเร็วสูง เนื่องจากลมยางที่อ่อนเกินไป จะทำให้ยางเกิดการยุบตัวได้ง่าย (นั่นเป็นสาเหตุว่าทำไมลมยางอ่อนจึงทำให้รถนุ่มขึ้น) จนเป็นสาเหตุให้แก้มยางบิดตัวมากกว่าปกติ จนเป็นสาเหตุให้ยางระเบิดขณะขับขี่ได้

ขณะเดียวกัน ลมยางอ่อนจะทำให้ดอกยางด้านข้างหมดเร็วกว่าปกติ เนื่องจากแก้มยางจะบานออก ทำให้ยางสึกไม่เท่ากันทั้งเส้น ตรงข้ามกับยางที่มีลมยางมากจนเกินไป ก็จะทำให้ดอกยางส่วนกลางหมดเร็วกว่าด้านข้าง เนื่องจากยางพองตัวจนหน้ายางไม่สามารถสัมผัสพื้นถนนเท่ากันทั้งเส้น

ไม่เพียงเท่านั้น ลมยางที่อ่อนจนเกินไปจะส่งผลให้รถเปลืองน้ำมันขึ้นด้วย เนื่องจากเกิดแรงเสียดทานมากกว่าปกติ จึงเพิ่มภาระเครื่องยนต์ให้ทำงานมากกว่าปกติจนเป็นสาเหตุให้กินน้ำมันมากขึ้นถึง 10 เปอร์เซ็นต์เลยทีเดียว

ทางที่ดีควรตรวจสอบลมยางทุกครั้งก่อนออกเดินทางไกล หากมีผู้โดยสารไปด้วยเต็มคันก็ควรเพิ่มแรงดันลมยางขึ้นไปอีก เพื่อรองรับน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ซึ่งปกติจะต้องบวกเพิ่มประมาณ 8-10 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว (PSI) ในกรณีมีผู้โดยสาร 5 คน พร้อมสัมภาระเต็มคัน

รู้แบบนี้แล้วควรเช็คลมยางเพื่อความปลอดภัยของตัวเองกันครับ
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » อาทิตย์ ม.ค. 07, 2018 8:12 pm

ซ่อมหรือเปลี่ยน? หากยางรถยนต์ชำรุด

ยางรถยนต์ นับเป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ในเรื่องของความปลอดภัย และยังถือเป็นอะไหล่สิ้นเปลืองที่ต้องเปลี่ยนบ่อยๆ เช่นกัน ดังนั้นคุณจึงควรตรวจสอบ และดูแลมันให้ดีอยู่เสมอ ซึ่งบางครั้งบางคราว ยางรถยนต์ของคุณ ก็อาจประสบเหตุไม่คาดคิด ทำให้เกิดความเสียหายขึ้น และบางเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่บางเหตุการณ์อาจเป็นเรื่องใหญ่

ดังนั้นเราจึงขอแยกแยะให้เข้าใจว่า แบบไหนควรซ่อม หรือแบบไหนควรเปลี่ยน เพื่อเป็นตัวเลือกให้คุณตัดสินใจ

ยางรถยนต์ชำรุดที่สามารถซ่อมได้ หากยางรถโดนตะปูตำ หรือโดนสิ่งของมีคมต่างๆ ทิ่มแทงจนเป็นรู เป็นรอยเจาะโดยไม่มีการฉีกขาดใดๆ เกิดขึ้น คุณสามารถนำยางไปปะตามร้านยางทั่วไปได้เลย ใช้เวลาไม่นาน แถมยังราคาถูก ร้อยกว่าบาทเท่านั้น แต่การปะที่ว่านี้ มีให้เลือกใช้งานอยู่ 2 แบบ ดังนี้

1. ปะแบบแทงใยไหม-อัดรูหนอน การปะประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องถอดยางออกมาจากล้อ และควรใช้ในกรณีที่มีบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ รูไม่ใหญ่มาก ซึ่งวิธีการทำก็คือ การนำใยไหมมาอุดเข้าไปตรงรูที่มีการรั่วซึม จากนั้นจึงทดสอบรอยรั่วให้แน่ใจอีกครั้ง

2. ปะแบบสตรีมร้อน สมควรใช้ในกรณีที่มีบาดแผลค่อนข้างใหญ่ จนไม่สามารถแทงใยไหม-อัดรูหนอนได้ และวิธีนี้จำเป็นต้องถอดยางออกมาจากล้อ เพราะต้องใช้แผ่นปะมาอุดรอยรั่ว แล้วจึงใช้ความร้อนทำให้แผ่นปะละลายไปติดกับเนื้อยางเดิม เพื่ออุดบริเวณที่รั่ว หลังจากนั้นจึงทำการทดสอบรอยรั่วอีกครั้ง ก่อนประกอบกลับเข้าที่

ยางรถยนต์ชำรุดที่ควรเปลี่ยนไม่ว่าจะเป็นส่วนไหนก็ตาม ทั้งหน้ายาง แก้มยาง ฯลฯ หากเกิดรอยฉีกขาดขึ้น คุณควรที่จะจัดการเปลี่ยนเป็นยางเส้นใหม่ไปเลย มันไม่คุ้มแน่ๆ หากนำไปซ่อม เพราะซ่อมยังไงก็ไม่อยู่แน่นอน แถมยังเสี่ยงอันตรายหากมันเกิดปัญหาขึ้นมา เช่น ยางระเบิด ยางแตก ฯลฯ ซึ่งปัจจุบันนี้ราคายางใหม่ก็ไม่ได้แพงมาก สามารถเลือกเปลี่ยนเฉพาะเส้นที่มีปัญหาก็ได้ แต่ถ้าขัดสนเรื่องงบประมาณ ลองหายางเปอร์เซ็นต์มาใช้ทดแทนไปก่อนก็ได้เช่นกัน

จริงๆ แล้วคุณจะเลือกการปะยางแบบไหนก็ได้ ตามที่คุณสบายใจ เพราะสุดท้ายทั้ง 2 วิธีการปะที่ว่ามานี้ ก็สามารถใช้งานได้ดีไม่แพ้กัน เพียงแต่ถ้าเป็นรอยใหญ่ๆ ใช้ปะแบบสตรีมจะดีกว่า เพราะมันครอบคลุมรอยแผลได้มากกว่า และการเปลี่ยนยางใหม่อย่าคิดว่าใช้เงินเยอะ เพราะหากเกิดอะไรขึ้นมา ชีวิตคุณมีค่ามากกว่าราคายางไม่กี่พันบาทแน่นอน
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

Re: สินเชื่อรถยนต์ รีไฟแนนซ์ รถคันแรก ก็ทำได้ วงเงินสูง ไม่ใ

โพสต์โดย d-credit » ศุกร์ ม.ค. 19, 2018 1:34 pm

วิธีแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เมื่อน้ำมันกำลังจะหมด!!!

น้ำมันหมด เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ซึ่งบางครั้งอาจเป็นเพราะรถติดหนัก ขยับทีละคืบ หรือเวลาเดินทางไกลๆ ขับไปก็ไม่เจอปั๊มน้ำมันสักที มันก็ชวนให้ใจหวิวๆ ลุ้นหนักอยู่เหมือนกันว่า น้ำมันจะหมดก่อน หรือจะถึงปั๊มก่อนกันแน่

แต่ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นจริงๆ สัญญาณเตือนน้ำมันกำลังจะหมดแสดงขึ้นมา ให้คุณทำตามวิธีเหล่านี้

1. ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกอย่างในรถ เช่น วิทยุ เครื่องเสียง แอร์ และอื่นๆ ฯลฯ

2. ใช้ความเร็วคงที่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อประหยัดน้ำมัน โดยควบคุมให้ความเร็วอยู่ราวๆ 50 - 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถไม่เกิน 1,800 ซีซี และใช้ความเร็วราวๆ 60 - 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สำหรับรถที่มีขนาดเกิน 2,000 ซีซี ขึ้นไป

3. อย่าลดความเร็วลงโดยไม่จำเป็น และอย่าเบรกบ่อยๆ เพราะการทำแบบนี้จะทำให้สิ้นเปลืองน้ำมันอย่างมาก

4. หลบเลี่ยงเส้นทาง หรือถนนที่มีหลุมมีบ่อเยอะๆ ทั้งหลุมเล็ก-หลุมใหญ่ เพราะมันจะทำให้คุณต้องเหยียบเบรก และคันเร่งบ่อยขึ้น

5. อย่าเปิดหน้าต่างทิ้งไว้ (แง้มไว้แค่เล็กน้อย) เพราะมันจะต้านแรงลมที่พุ่งเข้ามาหารถของคุณ แม้วิธีนี้จะช่วยไม่ได้มาก แต่มันก็ถือว่าช่วยได้เหมือนกัน

6. หลีกเลี่ยงเส้นทางที่มีการจราจรหนาแน่น แม้จะเป็นเรื่องที่ยาก เพราะไปทางไหนก็มีแต่รถติด แต่การขับไปเรื่อยๆ กับการขับๆ เบรกๆ มีผลต่ออัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน

แม้เหตุการณ์น้ำมันหมด จะมีเปอร์เซ็นต์เกิดขึ้นได้น้อย แต่ทางที่ดีคุณก็ควรที่จะเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกเดินทางทุกครั้ง ตรวจเช็กปริมาณน้ำมันในถังที่หน้าปัดรถยนต์ก่อนสตาร์ทรถ รวมไปถึงความพร้อม ความสมบูรณ์ของรถยนต์ และเครื่องยนต์ด้วย จะได้เดินทางราบรื่น ไม่มีสะดุด เพราะไม่ใช่เรื่องเล่นๆ หากขับรถไปแล้วเกิดปัญหากลางทาง
d-credit
Gold Member
 
โพสต์: 301
ลงทะเบียนเมื่อ: อังคาร ก.ย. 17, 2013 4:24 pm

ย้อนกลับต่อไป

ย้อนกลับไปยัง กระดานซื้อขายสำหรับร้่านค้าหรือมืออาชีพ

ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน

cron